สวัสดีค๊าาาา ตอน 6 มาแล้วค่ะ วันนี้เราจะพาไปเก็บ 3 ปราสาทกันเลยค่ะ มีแอบหลอนเบาๆตอนท้ายด้วยนะคะ
เส้นทางแรกของเราวันนี้คือเมือง Vitré ค่ะ ซึ่งเป็นเมืองในยุคกลางที่สวยงามมาก มีมรดกทางวัฒนธรรมที่หลากหลาย เป็นตัวแบบของเมืองยุคกลางที่ดีมาก นั่นคือมีปราสาทที่สวยงามดั่งปราสาทในเทพนิยาย มีโบสถ์ของคริสตจักร มีบ้านเรือนของผู้คน มีโบราณสถานทางประวัติศาสตร์ สวนสาธารณะและธรรมชาติที่งดงาม
เมืองนี้ครั้งหนึ่งนั้นเคยเป็นหนึ่งในเมืองที่สำคัญที่สุดของแถบนี้ มีความรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจเป็นอย่างมากมาก ในช่วงปลายของศตวรรษที่ 17 ด้วยการค้าผ้าลินินที่มีการส่งออกไปทั่วทั้งยุโรปและอเมริกาใต้ สเน่ห์ของ Vitré อีกอย่างนึงคือมีบ้านเรือนที่สร้างในศตวรรษที่ 15 และ 16 ที่มีความสวยงามตามแบบของศิลปะยุคกลางที่เทียบความงามแล้วก็ตีคู่กันได้กับเมือง Dinan ที่พาไปเที่ยวในตอนที่ 3 นั่นเองค่ะ
ขับไปแพร้บๆก็ถึงแล้วค่ะ จอดรถปุ๊บก็ไปที่นี่ก่อนเลย Église Notre-Dame de Vitré เพราะรถเราจอดข้างๆโบสถ์เลยค่ะ วันนี้เจออากาศฟ้าปิดซะงั้น ทั้งหนาวทั้งฟ้าหม่นๆเลย ตะเตือนใตมากกกก รีบหลบลมเข้าโบสถ์เลยละกัน
โบสถ์นี้ได้มีการสร้างใหม่ในปี คศ. 1420-1550 ในแบบกอธิก ส่วนด้านในนั้นสวยงามด้วยหน้าต่างกระจกสีตามแบบของเรเนซองส์ค่ะ

มีภาพของ Jesus and Abba Menas ซึ่งถือเป็นภาพของพระเยซูที่เก่าแก่ที่สุด ภาพจริงอยู่ที่ Louvre
หลบลมหนาวให้ร่างกายปรับตัวพร้อมลุยความหนาวแล้ว ก็ไปต่อค่ะ ออกมานอกโบสถ์เจอนี่เข้าไป Figuration de la Trinité เป็นรูปปั้นที่สร้างขึ้นตามความเชื่อของคนยุคกลางสมัย เซลติก แสดงถึงการเป็นตัวแทนของ สามสิ่งที่แตกต่างกัน เป็นเหมือน การนอนหลับ ฝัน และ ตื่น
หรือเป็นทางผ่านสามโลก ของจักรวาล เซลติก ( ท้องฟ้า อากาศ และแผ่นดิน ) หรืออาจเป็นตัวแทนของ อดีต ปัจจุบัน และอนาคต ค่ะ
รอบๆโบสถ์จะเป็นถนนหลายสายเลยค่ะ เดินไปตามถนนที่เป็นทางเดินเล็กๆ รายล้อมไปด้วยบ้านเก่ายุคกลางและบ้านสมัยเรเนซองส์ สวยงามมากจริงๆ เดินผ่านมุมไหนก็น่าถ่ายรูปไปหมดค่ะ
มี Gimmick น่ารักๆให้เห็นตลอดทางเลย สมกับที่เป็นเมืองยุคกลางที่สวยงามที่สุดเมืองนึงของ Brittany เลยยยย
เดินเพลินเลยค่ะ แพร้บๆก็ถึงแล้ว Château de Vitré ปราสาทที่เป็นหนึ่งในป้อมปราการที่งดงามที่สุดของของ Brittany ค่ะ
การก่อสร้างปราสาทได้เริ่มขึ้นในศตวรรษที่ 11 เป็นป้อมปราการอันแข็งแกร่งที่ป้องกันชายแดนของ Brittany เรื่อยมา ในศตวรรษที่ 13 ได้มีการสร้างพิ่มเติมให้ใหญ่ขึ้น ตรงทางเข้าจะมีปราสาทขนาบข้างไว้ค่ะ ภาพนี้คือ Gatehouse and Saint-Laurent Tower ค่ะ
ด้านบนปราสาทได้มีช่องเปิดสำหรับต่อสู้ศัตรูที่เข้ามารุกราน ที่เรียกว่า Machicolation ช่องด้านบนตรงนี้แหละค่ะ เอาไว้โยนก้อนหิน ยิงธนู หรือจะยิงลูกหินไฟลงมา ส่วนใหญ่ปราสาทที่เป็นป้อมปราการในแถบนี้จะมีเจ้า Machicolation กันแทบทั้งนั้นเลยค่ะ
เข้ามาชมด้านในปราสาทกันก่อนดีกว่าค่ะ เรามาถึงก็ใกล้เวลาพักกลางวันของเจ้าหน้าที่ค่ะ
มีเวลาครึ่งชั่วโมงเท่านั้น วิ่งสิคะ! รออะไร สวมวิญญาณนักวิ่งเท้าไฟกันเลยทีเดียว
มิวเซียมที่นี่แสดงถึงประวัติของ Château de Vitré มีห้องบรรทม ห้องรับแขกและห้องต่างๆให้ชมค่ะ
และก็มีส่วนที่จัดแสดงโบราณวัตถุ ภาพวาดเมือง Vitré ของศิลปินชื่อดังมากมาย และมี Chapel ในปราสาทด้วย
ชมด้านในแล้ว อีกสิ่งนึงที่ห้ามพลาดเลยคือชมวิวเมืองจากด้านบนปราสาทค่ะ สวยงามมากจริงๆ
มองมุมนี้เห็น Église Notre-Dame de Vitré ด้วยนะคะ ยอดแหลมเชียวค่ะ
ชมด้านในมิวเซียมครบทุกห้องแล้ว ก็มาชมด้านนอกกันต่อเลยคร่าาาา Hôtel de Ville หรือศาลาว่าการเมืองค่ะ อยู่ในปราสาทเลย มีห้องน้ำสะอาดบริการฟรี!! ด้วยนะคะ มันดีตรงนี้แหละ ถ้าเดินเที่ยวชมเมือง เวลาจะเข้าห้องน้ำต้องเข้าร้านกาแฟค่ะ เข้าไปก็ต้องซื้อด้วยไม่ได้เข้าฟรีนะคะ
ในทริปนี้ เราเลยเรียก ห้องน้ำหกสิบบาท เป็นมุขขำๆเวลาอยากเข้าห้องน้ำค่ะ
บริเวณลานด้านในเป็นพื้นที่ไว้จัดนิทรรศการค่ะ
มุมนี้มองจากด้านนอกปราสาทค่ะ จะเห็นว่าเป็นคูน้ำล้อมรอบ แต่ตอนนี้ไม่มีน้ำนะคะ เป็นหญ้าเขียวๆ สบายตาดีค่ะ
เดินเที่ยวต่อกันดีกว่า ไปชมเมืองเก่ากันค่ะ เห็นป้ายแบบนี้ร้านอาหารแน่ๆ ร้านอาหารเยอะค่ะ แต่เป็นร้านเล็กๆ ช่วงกลางวันส่วนใหญ่คนแน่นร้านเลยค่ะ
เป็นโซนเมืองเก่าที่สวยงามจริงๆ อากาศวันนี้ไม่ค่อยเป็นใจเลย ขมุกขมัว แดดไม่มี หนาวด้วย
ชอบมากๆๆเลยค่ะหลังนี้ สวยจริงจัง Ancien hôtel du Bât ou du Bol d'Or à Vitré ได้ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถาน เมื่อ 5 พฤศจิกายน 1926 สร้างเมื่อต้นศตวรรษที่ 16 ค่ะ ดีงามตามท้องเรื่องจริงๆค่ะ หลังนี้ชอบแบบบอกไม่ถูก
บ้านเก่าบางหลังก็ถูกปล่อยทิ้งร้างค่ะ ดูแล้วเสียดายเลย เห็นมีประกาศขายหลายหลังเหมือนกัน
สนใจรับไว้สักหลังมั้ยคะ
เดินมาเรื่อยๆอีกสักหน่อยก็เจอร้านนี้ค่ะ ร้านสวยมากทำเลดี ร้าน AUBERGE DU CHATEAU ค่ะ เป็นร้านแนะนำของ Michelin ซะด้วย แต่เราไม่ได้ทานร้านนี้ค่ะ
เดินต่อสักหน่อย ยังไม่หิวเท่าไหร่ สิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับเมืองแถบนี้คือร้านขายปลากระป๋องค่ะ
packaging มีผลต่อการตัดสินใจซื้อมากค่ะ ดีนะเราซื้อจาก Dinan มาแล้ว ไม่งั้นอดใจไม่ได้อีกแน่ๆ
ร้านรวงที่นี่แต่งร้านได้น่ารักมากๆเลยค่ะ
เดินต่อค่ะ เพลินๆ ชิวๆ ในเมืองสวยๆแบบนี้ ลืมเหนื่อยกันเลยทีเดียวค่ะ
และก็มาเจอ สามแยกปากหวานนนนนนน ของถนน Rue de la Poterie มีบ้านยุคกลางที่เป็นแบบ half-timbered houses อยู่ตรงทางแยกเลยค่ะ โดดเด่นไม่เบาเลยยยย
เดินกันมาครึ่งวันก็หิวแล้วล่ะค่ะ ฝากท้องไว้เมืองนี้สักหน่อย เห็นร้านอาหารเยอะแยะเลย
สุดท้ายหวยออกที่ร้านพิซซ่าค่ะ ร้านใหญ่โต ที่นั่งเยอะดี ดูไม่คับแคบก็จัดไปค่ะ อาหารมาแล้ววววว สั่งมา 3 อย่าง ทานกัน 4 คน ไม่ได้สั่งเป็นเมนู เพราะกลัวจะทานไม่หมดค่ะ มื้อกลางวันจะทานไม่ค่อยเยอะค่ะ กลัวจุก เพราะเดินเยอะมากกกก
ฟรัวกราส์สักหน่อยนึง
เมนูนี้เป็นข้าวค่ะ
ละก็พิซซ่าค่ะ
เติมพลังกันเต็มที่ละ ไปลุยกันต่อโลดคร่า ครึ่งวันบ่ายนี้เราจะไป Fougères ค่ะ บอกเลยว่าเซอร์ไพรส์กับเมืองนี้มากจริงๆ สวยเกินคาดไปเยอะเลยค่ะ เกริ่นมาซะขนาดนี้ก็ไปเที่ยวต่อกันเลยคร่า จาก Vitré ไปก็ราวๆ 30km เองค่ะ
Fougères เป็นเมืองชายขอบสำคัญอีกเมืองนึงของแคว้น Brittany ค่ะ ประวัติศาสตร์ของ Fougères นั้นได้มีการเปลี่ยนแปลงมาหลายศตวรรษแล้ว ด้วยความที่ดยุคของ Brittany เริ่มอ่อนแอจนไม่สามารถปกป้องแผ่นดินจากการรุกรานของฝรั่งเศส
ในปี คศ.1488 Brittany ได้พ่ายแพ้ในการต่อสู้ของ St-Aubin-du-Cormier และนั่นก็เป็นเสมือนลางร้ายของอิสระภาพของเมืองนี้ นับเป็นปีแห่งการสิ้นสุดอิสระภาพของ Brittany ซึ่งขณะนั้น Anne of Brittany อายุยังไม่ถึง 12 ขวบดีด้วยซ้ำค่ะ
ถึงแล้วคร่า Fougères ไม่พูดพร่ำทำเพลง เดินเที่ยวกันเลยค่ะ ความตั้งใจแรกคือจะไปที่ Chateau de Fougères เลย งานนี้ถามคนพื้นที่เค้าค่ะ สรุปว่าจากที่จอดรถสามารถไปได้หลายทาง คนที่นี่น่ารักมากค่ะ เค้าบอกจะพาไปด้วย เพราะเค้าจะไปทางนั้นพอดี แต่เราเลือกจะไปอีกทางค่ะ
ทางที่เราเลือกต้องเดินผ่านสวนสาธารณะของเมืองค่ะ เดินผ่านโซนบ้านเก่ายุคกลางก่อนจะขึ้นไปบนสวนค่ะ มีลำธารเล็กๆด้วย
พอเดินเข้าไปจริงๆเรียกว่าเป็นสวนป่าเลยจะดีกว่า คือเป็นสวนสไตล์อังกฤษที่ใหญ่มากค่ะ อยู่บนเนินเขาที่มองเห็นเมืองจากมุมสูง สวยมากจริงๆ สดชื่นด้วยค่ะ เพราะเป็นช่วงสปริงต้นไม้เขียวๆ มีดอกไม้ด้วย ถือว่าเราเลือกทางถูกค่ะ
มองเห็น Chateau de Fougères อยู่ไกลๆตรงนู้นนนนน และเราจะเดินไปกันค่ะ
ลงมาจากสวนก็ถึงกะอึ้ง! ในความสวยงามของหมู่บ้านยุคกลางค่ะ
คือไม่คิดว่าจะมีโซนหมู่บ้านเก่าให้เดินเที่ยวได้ แถมเที่ยววันธรรมดาก็ดีแบบนี้แหละค่ะ คนน้อย รถก็ไม่ค่อยมี ดื่มด่ำบรรยากาศได้เต็มที่เลยคร่าาา
เดินมาอีกสักหน่อย เที่ยวในเขตเมืองเก่าที่ Place du Marchix และ ถนน Rue de Lusignan
จะเห็นบ้านที่เป็นแบบ Half-timbered ที่สร้างในศตวรรษที่16 ค่ะ สวยงามมากกกกก ไม่เบื่อที่จะดูบ้านแบบนี้ พูดเลยยยยย
บ้านที่มีผนังทำด้วยหินและเป็นกำแพงไปในตัวค่ะ ให้อีกอารมณ์นึง แต่ความงามนั้นกินกันไม่ลงจริงๆค่ะ
ลายๆแบบนี้เห็นละนึกถึงอะไรกันบ้างคะ ตามแต่จินตนาการเลยค่ะ
เดินมาอีกสักหน่อยตรงถนนใหญ่ก็จะเจอกับร้านค้าร้านอาหาร ซึ่งก็ดูเรียบง่ายแต่เก๋ไม่เบาค่ะ
เจ้าของร้านนี้ดูเฟี้ยวมากกก
อีกร้านนึงค่ะ ใกล้ๆกัน
ถึงแล้วคร่า Château de Fougères ซึ่งถือว่าเป็น Masterpiece ของสถาปัตยกรรมทางทหารในยุคกลางก็ว่าได้ค่ะ ก่อสร้างเมื่อศตวรรษที่ 12-15 ป้อมปราการมีถึง 13 ป้อม ในพื้นที่ 5 เอเคอร์ค่ะ
ในช่วงศตวรรษที่ 15 วิวัฒนาการทางทหารได้เริ่มมีปืนใหญ่แล้ว จึงได้มีการปรับปราการเมืองให้มีช่องสำหรับยิงปืนใหญ่ค่ะ
เจอทางเข้าแล้วคร่าาาาาา เอาล่ะค่ะ เข้าไปข้างในกันดีกว่า ซื้อตั๋วเข้าชมก็จะได้ Audio guide มีภาษาอังกฤษค่ะ อุปกรณ์พร้อมก็ไปลุยกันในพื้นที่ 5 เอเคอร์ ลุยโลดดดดดด
ยิ่งใหญ่จริงๆ แต่ละจุดจะมีภาพจำลองสมัยอดีตให้ชมด้วยนะคะ
ทางเดินบนปราการ จะมองเห็นวิวเมืองค่ะ และป้อมปราการก็สามารถขึ้นไปด้านบนสุดได้ วิวข้างบนสวยมากกกกก คุ้มเหนื่อยที่ปีนขึ้นไปค่ะ ลมก็แรง แต่สวยคุ้มค่ามากค่ะ
ตอนนี้ก็ได้เวลากลับละค่ะ เพราะเรายังเหลืออีก 1 ปราสาท ว่ากันว่าเป็นปราสาทผีสิงด้วย.......ก่อนจะมืดหมดแสงรีบไปกันดีกว่าค่ะ เดินกลับไปยังที่จอดรถ ก็ยังมีมุมสวยๆอีกมากมายตลอดทางเลยค่ะ เป็นเมืองที่สวยเกินคาดจริงๆ
วันนี้เราจะปิดท้ายวัน ด้วยภารกิจ ล่า ท้า ผี ที่ Chateau de Trécesson กันนนนน.....
ประวัติของที่นี่นั้นไม่ธรรมดาเลยยย การเริ่มก่อสร้างปราสาทแห่งนี้นั้นประวัติไม่เป็นที่แน่ชัดค่ะ (โอ่ยย แค่เริ่มเรื่องมาก็ไม่เคลียร์แล้ว จะลึกลับไปไหนคร๊าาาา) มีการบันทึกไว้ครั้งแรกเมื่อศตวรรษที่ 8 ว่าเป็นที่ประทับของ lords of Ploërmel and Campénéac จนกระทั่งศตวรรษที่ 13 ก็ตกเป็นของตระกูลTrécesson และเป็นสถานที่ส่วนบุคคล ไม่สามารถเข้าไปด้านในได้นะคะ ชมได้แค่ด้านนอกเท่านั้นค่ะ แต่แค่ด้านนอกก็สะพรึงไปกับบรรยากาศโพล้เพล้ กับเวลาพลบค่ำ พระอาทิตย์กำลังจะตกแล้ว เพราะตอนที่เราไปถึงนั้นก็สองทุ่มครึ่งแล้วค่ะ
มาฟังตำนานกันดีกว่าาาาา
ตำนานผีสิงที่โด่งดังของที่นี่นั้น ว่ากันว่าเจ้าสาวได้หายตัวไปในเช้าของวันแต่งงาน และพบว่าถูกฝังทั้งเป็น ซึ่งก็ไม่ทราบตัวฆาตกรที่แท้จริง จนกลายมาเป็นตำนานผีชุดขาว White Lady ที่สิงสถิตอยู่ที่ปราสาทแห่งนี้นั่นเอง............
บรรยากาศที่ล้อมรอบด้วยน้ำ ทำให้มองเห็นเงาของปราสาทในน้ำด้วยยยย
ซูมๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ สักหน่อยยยยยยยย ขอบอกว่าอย่าได้ดูรูปนี้คนเดียวววววววววววววววว
หลอกกกกกกกกกกกกกก.......... อินางส่งมาตอนเราติดงานต่างจังหวัดค่ะ คืนนั้นต้องนอนโรงแรมคนเดียวด้วย นางส่งมาตอนเที่ยงคืนคร่า อิชั้นเลยจะไม่ยอมเห็นรูปนี้คนเดียวววววววว ส่วนอินางนั้นหัวเราะชอบใจ แกล้งเราด้ายยยยยยยยยยยย.........น่าตีจริงๆ แต่เห็นครั้งแรก เชื่อสนิทเลยค่ะ พูดเลย.....
จบแล้วนะคร๊าาาา สำหรับ Ep.6 ขอบคุณมากๆที่ติดตามกันนะค๊าาา ^_^
เที่ยวไปตามตะวันแบบ BRgoeverywhere แค่มีฝัน เราเชื่อว่าจะมีแรงขับให้เป็นไปได้ค่ะ
ออกตามตะวัน ไปจับฝันกันเถอะ!!!!
หาที่พัก โรงแรมได้ง่ายๆที่ agoda เลย
ออกตามตะวัน ไปจับฝันกันเถอะ!!!!
No comments:
Post a Comment