Saturday, August 22, 2015

ซีรี่ย์ขับรถเที่ยวฝรั่งเศส ตะลุยแคว้นบริตตานี (Brittany) EP.4 สัมผัสแรงศรัทธาแห่ง Le Mont Saint-Michel และชมเมืองแห่งปราการ Saint-Malo (แซงต์-มาโล)




มาแล้วคร่าาาาาา วันที่ 4 ของทริปนี้   เช้านี้เราจะไป Le Mont Saint-Michel และให้เวลาเต็มที่ครึ่งวันเลยค่ะ  
          มาทำความรู้จักเกาะแห่งแรงศรัทธานี้กันสักหน่อยนะคะ   Mont Saint-Michel  ได้มีการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ และสถาปัตยกรรม โดยองค์การยูเนสโก เมื่อปีค.ศ.1979  

          เกาะแห่งนี้ห่างจากแผ่นดินออกไปประมาณ 1km ตั้งตระหง่านอยู่กลางน้ำทะเล ด้วยลักษณะทางภูมิศาสตร์ที่ถูกโอบล้อมด้วยหมอกและทะเล ทำให้  Mont Saint-Michel เป็นที่หนึ่งที่ควรมายลความสวยงามที่น่าอัศจรรย์อย่างยิ่ง
ในช่วงที่น้ำทะเลขึ้นนั้น  Mont Saint-Michel  ก็ยังคงตั้งตระหง่านอยู่ที่ Couesnon ซึ่งป็นอ่าวที่อยู่ระหว่างแคว้น Brittany และ Normondy ของฝรั่งเศส   ซึ่งเดิมเป็นที่รู้จักกันในชื่อ  Mont – Tombe
ตามตำนานกล่าวไว้ว่า ในศตวรรษที่ 8  Saint-Michel(เซนต์ ไมเคิล) ซึ่งเป็นเทวทูตได้มาปรากฏในนิมิตของ Saint-Aubert (เซนต์ โอแบร์)  เพื่อบอกให้สร้างโบสถ์ขึ้นที่นี่ แต่ Saint-Aubert  ยังเพิกเฉยต่อนิมิตนั้น

         จนกระทั่งครั้งที่ 3 Saint-Michel  ได้ใช้นิ้วจิ้มหน้าผากของ Saint-Aubert    เมื่อตื่นขึ้นมาก็ต้องตะลึงเมื่อเห็นรูที่หน้าผากของตนเอง Saint-Aubert  จึงรู้ว่าไม่ใช่เรื่องล้อเล่นกันแล้ว     จึงได้ริเริ่มการสร้าง โดยเริ่มจากโบสถ์เล็กๆสำหรับใช้เป็นการส่วนตัว
จุดเริ่มต้นของการสร้างมหาวิหารที่ยิ่งใหญ่นั้นได้เริ่มเมื่อ ศตวรรษที่ 10 จนเมื่อศตวรรษที่ 12 – 13 เกาะแห่งนี้ได้กลายเป็นสถานที่สำหรับผู้มาแสวงบุญอย่างล้นหลามทำให้เป็นที่รู้จักกันในนาม  Mont –Michel 
          
          การก่อสร้างวิหารได้ทำอย่างต่อเนื่องเรื่อยมาจนศตวรรษที่ 16  เกาะแห่งนี้ก็ได้ยิ่งใหญ่ขึ้นจนสูงเป็น 2 เท่าจากของเดิม
ต่อมาก็ได้เกิดเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ในช่วงของกระแสปฏิวัติฝรั่งเศส เกาะแห่งนี้ก็ได้กลายเป็นเรือนจำกักขังนักโทษทางการเมือง
และในปี 1874 ได้มีบำรุงรักษาโดยหน่วยงานของรัฐ ภายใต้การดูแลของ Monuments Historiques 
ต่อมาเมื่อปี 1879 ก็ได้มีการสร้างถนนเชื่อมต่อมายังแผ่นดินใหญ่ ทำให้การเดินทางไปยัง Mont Saint-Michel สะดวกขึ้น 
แต่ในปัจจุบันได้มีการปรับภูมิทัศน์โดยรอบไปแล้วค่ะ ตามข้อมูลที่เล่าไว้ในตอนที่แล้วค่ะ

          เอาล่ะค่ะ อรัมภบทมานานละ เก็บของ Check out แล้วไปลุยกันโลดดดด
ออกจากที่พักแล้วค่ะ แต่ด้วยวิวข้างทาง อดใจไม่ไหวที่จะจอดและขอแชะภาพไว้ค่ะ  มุมไกลๆ ระยะจากตรงนี้ไปประมาณ 4km ค่ะ  แค่นี้ก็เห็นถึงความยิ่งใหญ่เลาๆแล้ว     ทุ่งหญ้าตรงนี้เป็นทุ่งของน้องแกะเค้าค่ะ   ก้อนดำๆนี่เป็นซากอารยธรรมค่ะ
ตอนเดินไปเนี่ย ต้องใช้วิชาตัวเบากันนิดนึง ไม่งั้นได้สอยเอาอึ๊น้องแกะติดไปด้วยแน่ๆ

ถึงแล้วคร่า มาช่วงเช้าฟ้าใสและอากาศดีมาก  ลุยได้เต็มที่ไม่ต้องกลัวหนาวแล้ว ตรงนี้จะเห็นปราการเมืองด้วยนะคะ
ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อป้องกันการรรุกรานจากอังกฤษในช่วงศตวรรษที่ 15 ค่ะ



และก็พลาดไม่ได้กับมุมนี้


             ยอดวิหารอันยิ่งใหญ่ ที่มีรูปปั้นทองของ เซนต์ ไมเคิลอยู่บนยอด วันนี้เราจะเข้าไปชมข้างในกันค่ะ



แต่ก่อนจะขึ้นไปข้างบนนั้น ขอชมพิพิธภัณฑ์ของที่นี่ก่อน เราซื้อตั๋วแบบเข้าครบทุกที่ค่ะ สายเที่ยวมิวเซียมยู่แล้ว งานนี้ไม่พลาด
รูปปั้นแสดงถึงชื่อเสียงอันลือเลื่องของที่นี่อย่างนึง ทรายดูด นั่นเองค่ะ

หุ่นขี้ผึ้ง แสดงเรื่องราวในประวัติศาสตร์ของที่นี่ตามช่วงเวลาต่างๆ บางช่วงก็เป็นที่คุมขังนักโทษทางการเมือง  บางช่วงก็เป็นที่แสวงบุญ ช่างให้อารมณ์ที่แตกต่างกันจริงๆ แต่มืดค่ะ แอบหลอนเบาๆ



เดินต่อกันค่ะ ไปชมมหาวิหารวิหารด้านบนกัน

สถาปัตยกรรมแบบนี้ ชอบมากค่ะ พูดเลย

ระเบียงทางเดินตรงอาราม ศิลปะแบบกอทิก เสาเป็นหินอ่อนสีชมพูค่ะ

ด้านในมหาวิหารค่ะ พื้นที่กว้างมากๆมีหลายส่วนสำหรับศาสนพิธี และหลายส่วนสำหรับนักบุญ ใช้เวลาค่อนข้างเยอะนะคะกว่าจะเดินหมด ยังไงเผื่อเวลาที่นี่เต็มที่เลยค่ะ



ออกจากมหาวิหาร เดินตามเส้นทางจะออกมาเจอจุดชมวิวซึ่งมองเห็น Tour Gabriel  หอคอยแกเบรียลค่ะ เป็นปราการที่สร้างขึ้นเพิ่มเติมเพื่อป้องกันเมืองจากอังกฤษในช่วงสงครามร้อยปี

Chapelle St-Aubert  เป็นโบสถ์ที่สร้างบนหินในศตวรรษที่ 15 เพื่อเป็นเกียรติให้ เซนต์ โอแบร์ ผู้ซึ่งเซนต์ไมเคิลจิ้มหน้าผาก เมื่อปี คศ.708  มองมุมสูงๆ วิวสวยๆค่ะ

รูปปั้นของ Saint-Michel ค่ะ อยู่ตรงที่จำหน่ายตั๋วเข้าชมค่ะ แต่อยู่ฝั่งทางออก

กลับออกมาเดินในหมู่บ้าน เข้ามิวเซียมต่อค่ะ แต่ละมิวเซียมจะเล่าเรื่องราวแตกต่างกันไป อย่างที่นี่จะเป็นบ้านที่แสดงให้เห็นการใช้ชีวิตของคนที่นี่เมื่ออดีตค่ะ



มาเดินเล่นกันต่อ บรรยากาศช่างต่างจากเมื่อเย็นวานอย่างสิ้นเชิง คนเยอะได้อีกค่ะ แทบไม่มีที่เดิน คึกคักดีทีเดียว    เมื่อก่อนเป็นทางที่ผู้แสวงบุญสร้างเพื่อเป็นทางเดินไปยังมหาวิหารค่ะ  ตอนนี้ก็กลายเป็นร้านรวงต่างๆไว้รองรับนักท่องเที่ยวค่ะ




ของที่ระลึกมีขายเยอะเลย ประชากรประมาณ 50 ครัวเรือนต้องต้อนรับนักท่องเที่ยวปีละ 3 ล้านคนกันเลยทีเดียว   



และก็ได้เวลาไปต่อกันแล้วค่ะ จากที่แพลนไว้ตอนแรกจะไปเมือง Rennes แต่เปลี่ยนใจไป Saint-Malo (แซงต์ มาโล) แทนค่ะ     ก่อนอื่นเรามามาทำความรู้จักกับเมืองนี้กันสักนิดนึงนะคะ 
           ในศตวรรษที่ 17 แซงต์ มาโล เป็นเมืองท่าที่สำคัญของฝรั่งเศส จนกระทั่งปลายศตวรรษ ในช่วงปี 1693 - 1695 ก็ถูกอังกฤษรุกราน    เลยมีการจัดทำแปลนเมืองโดยสร้างปราการใหม่เพิ่มเติม โดยสถาปนิกชื่อ Siméon de Garangeau ใช้เวลาก่อสร้างตั้งแต่ 1708 – 1742    ทำให้เมืองใหญ่ขึ้นอีกกว่าหนึ่งในสามจากของเดิมค่ะ   แต่แล้วเหตุการณ์ที่สะเทือนใจก็ได้เกิดขึ้น    เมื่อเมืองได้ถูกทำลายลงถึง 80% ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 (ขึ้นชื่อว่าสงครามไม่ว่าฝ่ายใดจะชนะ สิ่งที่ทิ้งไว้ก็คือความสูญสีย) 
           แต่ถึงกระนั้นเมืองนี้ยังโชคดีที่มีการจัดการอย่างดีหลังสงคราม ทำให้บูรณะเมืองได้ทันทีหลังสงครามสงบ    ดังนั้นสถาปัตยกรรมบางส่วนจึงใช้หินดั้งเดิมในการบูรณะได้  แต่บางส่วนก็ใช้หินแกรนิตและคอนกรีตในการซ่อมแซม  โดยยังคงไว้ซึ่งรูปแบบของสถาปัตยกรรมดั้งเดิมทั้งหมดค่ะ  ทำให้เราได้มาชมความงามที่ยังคงกลิ่นอายของเมืองเก่าไว้อย่างดีค่ะ น่าชื่นชมมาก

          ขับรถมาสักพักด้วยระยะทางประมาณ 60km จาก Le Mont Saint-Michel  ก็ถึงแล้วค่ะ ลงจากรถก็ต้องเที่ยวแบบทำเวลากันเลย เพราะมาถึงทุ่มนึงแล้ว ร้านรวงต่างๆเริ่มปิดหมดแล้ว   ร้านที่นี่จะปิดประมาณทุ่มนึงถึงทุ่มครั้งค่ะ  งานนี้ก็จ้ำสิคะ  เพราะเมืองใหญ่มาก เราเลยเดินเที่ยวได้แค่มุมเดียวเอง เดินผ่านศาลากลางจังหวัดค่ะ  ปราการเมืองยิ่งใหญ่จริงๆค่ะ

            เดินเลาะมาเรื่อยๆ ก็เป็นชายฝั่ง หาดทรายสีขาว และมองเห็นป้อมปราการชื่อ Fort National ที่เป็น 1 ใน 5 ของป้อมที่คอยป้องกันภัยให้กับเมืองในช่วงศตวรรษที่ 18    อยู่ไกลๆตรงนู้นค่ะ ป้อมนี้ถูกออกแบบโดยวิศกรทหาร Vauban ในปี 1689 และถูกสร้างโดย Garangeau เจ้าเก่าค่ะ 
ซึ่งตรงนี้ยังเคยเป็นที่คุมขังนักโทษด้วยค่ะ และตรงนั้นเองก็เป็นจุดที่มองเห็นกำแพงเมืองในมุมที่สวยงาม อลังการสุดๆ    มองเห็นปากอ่าว Rance ด้วย   ซึ่งเราไม่ได้ไปค่ะ หมดพลังซะก่อน ได้แต่ถ่ายรูปเล่นตรงนี้

ตอไม้ไว้กันการกัดเซาะของคลื่นช่วงน้ำขึ้นค่ะ ลำไม้ใหญ่มากจริงๆ ดูสวยไปอีกแบบค่ะ


เดินลงมาย่ำหาดทรายขาวๆนุ่มๆของฝรั่งเศสซะหน่อย จะต่างจากเมืองไทยเรามั้ย แต่จะสวยยังไงก็พูดได้เลยค่ะว่า ทะเลและชายหาดไทย ไม่แพ้ชาติใดในโลก  มองจากมุมนี้จะเห็นป้อมปราการและกำแพงเมืองยาวไปๆค่ะ นี่เป็นฝั่งซ้ายมือค่ะ

ส่วนตรงนี้ฝั่งขวามือ กำแพงเมืองสามารถเดินไปด้านบนชมวิวได้นะคะ   แต่เราเวลาไม่พอค่ะ อดไปเดินเลย นี่ก็จะสองทุ่มครึ่งแล้ว ได้เวลากลับชาโตว์ ปราสาทที่พักของเราแล้ว   คืนนี้กลับไปเป็นเจ้าหญิงแล้วค่ะ (งานมโน กลับมา)


มุมมองพาโนรามาสักหน่อย สองทุ่มแล้วค่ะ แต่ยังได้อารมณ์แสงตอนบ่ายค่ะ
           
ต้องกลับแล้วนะค๊า บะบายยยย แซงต์-มาโล เมืองแห่งป้อมปราการกำแพงเมืองที่ยิ่งใหญ่และหาดทรายสีขาว   เสียดายที่มีเวลาให้เมืองนี้น้อยไปนิด 



แล้วเจอกันใหม่ ตอนหน้านะค๊าาาาา
เที่ยวไปตามตะวันแบบ BRgoeverywhere แค่มีฝัน เราเชื่อว่าจะมีแรงขับให้เป็นไปได้ค่ะ
ออกตามตะวัน  ไปจับฝันกันเถอะ!!!!


No comments:

Post a Comment